ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ
(สิทธา พินิจภูวดล)
การเขียนที่ดีต้องเขียนด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติคือภาษาที่คนใช้พูดทั่วไปในสังคมเพื่อให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ง่าย
นักแปลต้องพิจารณาเพื่อให้งานที่แปลเป็นภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ
คำ ความหมาย
ในการสร้างคำ
คำว่าทำมีความหมายแตกต่างกันหลายอย่างมีทั้งความหมายตรงและความหมายแฝงมีความหมายเชิงเปรียบเทียบและคำบางคำมีความหมายต่างกันไปตามยุคสมัย
การสร้างคำกริยา
การเสริมท้ายคำกริยาด้วยคำกริยาซึ่งทำให้เราเข้าใจความหมายที่แท้จริงดั้งเดิมของมัน
ส่วนใหญ่คำที่นำมาเสริมนั้นได้แก่ขึ้น ลง ไป มา
การเข้าคู่คำ
คือการนำคำหลายคำมาเข้าคู่กันเพื่อให้ได้คำใหม่
โดยมีความหมายใหม่หรือมีความหมายคงเดิม
สำนวนโวหาร
ในการแปลขั้นสูงผู้แปลจะต้องรู้จักใช้สำนวนในการเขียนและการใช้โวหารหลายๆแบบเพราะจะทำให้สื่อความหมายได้ชัดเจน
ในวรรณกรรมชั้นดีผู้เขียนมักจะใช้สำนวนโวหารแปลกๆ ซับซ้อนเพื่อความบันเทิง
สำนวนที่มีคำซ้ำ
คำเดียวกันซ้ำกันและคำที่มีความหมายเหมือนกันซ้ำกัน
ซึ่งล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียดังนี้
· ข้อดี คือ
เพื่อความไพเราะ เพื่อให้มีความหมายอ่อนลง เพื่อให้ได้คำใหม่ๆใ
เพื่อแสดงจำนวนที่มาก
· ข้อเสียของการใช้คำซ้ำรูปซ้ำความหมาย
คือ กลายเป็นรุ่มร่ามฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็นและจะแสดงถึงฝีมือของกวีอีกด้วย
1 โวหารอุปมา คือการสร้างภาพพจน์ด้วยการเปรียบเทียบ
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบาย พูดพาดพิงถึงเสริมให้งามขึ้น
2 โวหารอุปลักษณ์ คือ
การเปรียบเทียบความหมายโดยนำความเหมือนและไม่เหมือนของสิ่งที่จะเปรียบเทียบมากล่าว
3 โวหารเย้ยหยัน
คือการใช้คำด้วยอารมณ์ขัน เพื่อยั่วล้อ เย้ยหยัน เหน็บแนมหรือชี้ให้เห็นข้อบกพร่องซึ่งมักจะใช้ถ้อยคำถากถาง
แดกดัน
4 โวหารขัดแย้ง คือ
การใช้คำที่มีความหมายตรงกันข้ามกันมาเรียงต่อกันโดยรักษาสมดุลไว้
5 โวหารที่ใช้ส่วนหนึ่งแทนทั้งหมด
ได้แก่การนำคุณสมบัติเด่นๆของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาใช้แทนที่จะเอยถึงสิ่งนั้นตรงๆ
6 โวหารบุคคลาธิษฐาน
คือการนำสิ่งต่างๆที่ไม่มีชีวิตรวมทั้งความคิด
การกระทำและนามธรรมอื่นๆมากล่าวเหมือนบุคคล
7 โวหารที่กล่าวเกินจริง
มีจุดประสงค์เพื่อที่จะเน้นให้เห็นความสำคัญ ชี้ให้ชัดเจนและแสดงถึงอารมณ์ที่รุนรง
ลักษณะที่ดีของสำนวนโวหาร
“ถูกหลักภาษา
ไม่กำกวม มีชีวิตชีวา สมเหตุสมผล คมคายเฉียบแหลม”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น