วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log 12 (out class)

Learning  Log  12
 (out  class)
สังคมไทยในปัจจุบันนั้นได้มีการเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลายเราสามารถเรียนรู้ได้มากมายหลากหลายภาษา  และภาษาที่มีความสำคัญต่อการสื่อสารนอกจากจะเป็นภาษาไทยคือภาษาแม่ของเราแล้ว  เรามีความจำเป็นจะต้องเรียนรู้ภาษาอื่น ๆ อีกด้วย  หนึ่งในนั้นก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง  การเรียนรู้ภาษาอังกฤษในยุคนั้น  ภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในการสื่อสาร  เพราะยุคนี้เป็นที่ภาษาอังกฤษมีความนิยม  มีความรุ่งเรืองในการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร  ได้มีการกำเนิดแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายทางภาษา  ซึ่งแหล่งข้อมูลต่าง ๆ นั้นจะเป็นแหล่งให้ความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษนอกจากนี้ก็ยังมีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายและแต่ละรูปแบบนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไป  ซึ่งการจัดการเรียนการสอนนั้นมี  ประเภท  คือ  การจัดการเรียนการสอนในระบบ  และ  การจัดการเรียนการสอนนอกระบบ  นอกจากนี้ก็ยังมีสื่อการเรียนรู้อื่น ๆ อีกด้วย  ซึ่งสื่อการเรียนรู้นั้นก็จะมีรูปแบบที่หลากหลาย  เพื่อใช้ในการเสริมความรู้ทางด้านวิชาภาษาอังกฤษให้แก่ผู้เรียนสื่อที่มีความนิยมในปัจจุบัน  เช่น  สื่อโปรแกรมอินเตอร์เน็ตต่าง ๆ เว็บไซต์ต่าง ๆ วิทยุ  โทรทัศน์  และวีดีโอต่าง ๆ รวมไปถึงอินเตอร์เน็ตด้วย  ซึ่งถ้าใช้สื่อดังกล่าวในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนั้น  ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนหรือบุคคลทั่ว ๆ ไปได้มีการฝึกฝนทักษะทางด้านวิชาภาษาอังกฤษในรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย  ถ้าเราอยากให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีมีคุณภาพนั้น  เราควรจะมีการประยุกต์  มีหลักการต่าง ๆ และมีกลยุทธ์ในการเรียนรู้ ทางด้านทักษะภาษาอังกฤษ  จะประกอบไปด้วยกลยุทธ์ทั้งหมด  10  องค์ประกอบ  นั่นก็คือ  เพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงและมีความเข้าใจ  เพราะการเรียนรู้ทางภาษาที่ดีนั้นก็คือการฝึกฝน  ฝึกปฏิบัติในการใช้ภาษาอย่างซ้ำ ๆ จากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่จนกระทั่งผู้เรียนสามรถทำทักษะต่าง ๆ ที่ได้จากการฝึกฝนนั้นนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องด้วยความชำนาญ  ดังนั้นแล้ดิฉันต้องมีการฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษในทักษะต่าง ๆ คือ  ฟัง  พูด  อ่าน  และเขียน  เพื่อที่จะนำความรู้  คามเข้าใจและข้อมูลที่ถูกต้อง  มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนและการสื่อสารภาษาอังกฤษในชิตประจำวันของเราได้อย่างมีคุณภาพ  และประสิทธิภาพ  และเราสามารถนำความรู้ที่ได้จากการฝึกฝนมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์และเกิดคามชำนาญในการเรียนรู้

                                วันที่  20 / 10 / 58  ในวันนี้ดิฉันได้เริ่มต้นจากการฝึกทักษะทางด้านการฟัง  โดยที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังนี้จากการที่ดิฉันฟังเพลง  ซึ่งเป็นเพลงสากลซึ่งบทเพลงที่ดิฉันฟังนี้มีชื่อบทเพลงว่า  All  of  me  ชื่อศิลปิน  John  Legend  อัลบั้ม  Love  in  the  Future  โดยเพลงนี้จะมีความหมายสั้น ๆ โดยสรุปได้ว่าในเนื้อเพลงจะมีความหมายเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีความรักต่อผู้หญิงคนหนึ่งมาก  เขารักเธอมาก  เขารักเธอหมดทั้งตัวและหัวใจของเขา  เขารักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ  และจากชื่อเพลง  All  of  me  จะมีความหมายว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน”  และในบทเพลงนี้จะกล่าถึงหลักการใช้ไวยากรณ์  Grammar  ในบทเพลงนี้  ซึ่งในบทเพลงนี้นั้นจะมีไวยากรณ์ที่ใช้ส่วนมากที่เห็นได้ชัดเจนในประโยคของเนื้อเพลง  คือ  เรื่องต่าง ๆ ดังนี้  Tense  ,  Noun  phrase  ส่วนของคำศัพท์โดยรวมของบทเพลงนี้เป็นคำศัพท์ที่บางคำนั้นดิฉันรู้ความหมายบ้างแล้ว  ทำให้ดิฉันสามารถแปลเนื้อหาของเพลงได้โดยที่ดิฉันนั้นไม่ต้องเปิดหาความหมายของคำศัพท์จาก  dictionary  หรือพจนานุกรมภาษาอังกฤษแปลเป็นภาษาไทย
                                ในส่วนของคำศัพท์ที่มีในบทเพลง  All of  me  บางคำที่ดิฉันไม่รู้ความหมายของคำศัพท์นั้นที่ดิฉันจะนำมาแปลเป็นเนื้อเพลง  ซึ่งก่อนที่ดิฉันจะแปลเนื้อเพลงได้ทั้งหมดนั้นดิฉันต้องหาคามหมายของคำศัพท์บางคำที่ดิฉันไม่รู้ความหมายก่อน  ก่อนที่จะแปลเนื้อเพลงได้ทั้งหมด  ซึ่งคำศัพท์ที่ดิฉันไม่รู้ความหมายก็คือคำศัพท์เหล่านี้  คือ  mouth  (n)  ปาก  ,  kicking  (v)  ผลัก  ,  spinning  (n)  การปั่นด้วย  ,  pin  (n)  เข็มหมุด  ,  magical  (adj)  วิเศษณ์  ,  mystery  (n)  ความลึกลับ  ,  dizzy  (adj)  โง่เขลา  ,  rarves  (n)  เส้นโค้ง  ,  imperfections  (n)  ข้อบกพร่อง  ,  winning  (adj)  ซึ่งมีชัยชนะ  ,  mood  (n)  อารมณ์  ,  muse  (v)  คิดตรึกตรอง  ,  distraction  (n)  สิ่งที่ทำให้ไขว้เขว  ,  edges  (n)  ขอบ  ความแข็งแรง  ,  risking  (adj)  เป็นอันตราย  เป็นการเสี่ยง  คามเสี่ยง  ซึ่งความหมายของคำศัพท์เหล่านี้นั้นนอกจากจะต้องรู้คามหมายแล้วเราต้องรู้ชนิดของคำศัพท์คำนั้น ๆ อีกด้วย  port  of  speech  และเราก็ยังต้องรู้หน้าที่ของคำศัพท์เหล่านี้อีกด้วย  เพื่อที่เราจะนำมาต่อยอดในการแปลความจากเนื้อเพลงได้ตรงตามบริบทคำศัพท์ในเนื้อเพลง  และเราก็สามารถแปลเนื้อเพลงได้อย่างถูกต้อง  และเข้าใจ  โดยที่เราจะแปลเนื้อเพลงออกมาได้ด้วยการใช้ภาษาที่สละสลวย  เมื่อผู้อ่านอ่านเนื้อเพลงที่เราแปลออกมาแล้วนั้นผู้อ่านก็จะเกิดคามเข้าใจในเนื้อเพลง่าเนื้อเพลงนี้มีความหมายว่าอย่างไร  และผู้อ่านก็จะเกิดความประทับใจในการอ่าน  และจะมีความสุขกับเนื้อเพลงที่เราแปล
                                จากเนื้อหาของบทเพลง  All  of  me  นี้  นอกจากเราได้เรียนรู้ในเรื่องของความหมายของคำศัพท์แล้วนั้น  เรายังสามารถเรียนรู้ในเรื่องของการออกเสียง  การเชื่อมเสียงของคำ  หรือการเชื่อมของประโยคได้อีกด้วย  ถ้าเราฟังเพลงนี้แล้วบางคำเราก็จะฟังไม่ชัด  เพราะเราไม่รู้ในเรื่องของการออกเสียงเชื่อมคำนั้นเอง  เมื่อเราได้เรียนรู้การเชื่อมเสียงคำในประโยคนั้นแล้ว  หากเราฟังเพลงในครั้งต่อ ๆ ไป พอเราได้ยินถึงเราก็จะรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นคำเชื่อมคำอะไรกัน คำอะไร  แต่เรายังไม่มีได้เรียนรู้ในส่วนของการออกเสียงเชื่อมคำนั้น  เราก็จะฟังไม่ออกเลยว่าออกเสียงคำว่าอะไร  และเราก็จะไม่รู้ความหมายที่ถูกต้องและแท้จริงของคำศัพท์นั้นได้เลยซึ่งในเพลงนี้ก็มีการเชื่อมคำในประโยคเช่นเดียวกัน  เช่นตัวอย่างในประโยคบทเพลงนี้  คือ  Drawing  me  in  ,  and   you  kicking  me  out.  คำว่า  me  in  จะออกเสียงรวมกันจาก  มี  อิน  ก็จะเป็น  mein  เมน  ส่วนคำว่า  me  out  มี  เอาท์  เมื่อออกเสียงรวมกันก็จะได้เป็น  meout  เมียอ้าวท์  ซึ่งประโยคนี้จะมีความหมายว่า  ดึงดูดผมเข้าผมและผลักผมออกไป  ประโยคต่อไปคือ  what’s  going  on  in  that  beautiful  mind.  ในประโยคนี้ก็จะมีการเชื่อมคำระหว่างคำศัพท์  คำ  คือ  going  on  in  จะออกเสียงได้ว่า   โกอิ้งออนอิน  ซึ่งประโยคนี้จะมีความหมายว่า  เกิดอะไรขึ้นกับใจที่งดงาม  ประโยคต่อไปคือ  Loves  all  of  you  ซึ่งในประโยคนี้จะมีความหมายว่า  รักทุกอย่างที่เป็นคุณ  นอกจากการเชื่อมเสียงประโยคแล้วยังมีคำที่ใช้แทนกันด้วย  ได้แก่  คำว่า  kickin  มาจากคำว่า  kicking  เป็นคำ  slang  แปลว่า  มีชีวิตชีวา  อีกคำหนึ่งก็คือ  คำว่า   risking  มาจากคำว่า  risky  แปลว่า  เป็นอันตราย  หรือความเสียงนั่นเอง
                                นอกจากดิฉันได้คามรู้ในส่วนของคำศัพท์  ความหมายของคำศัพท์และการออกเสียงเชื่อมคำในประโยคจากเนื้อเพลงแล้ว  ดิฉันมีความชอบเนื้อเพลงบทหนึ่งดังต่อไปนี้  เป็นอย่างมาก  เพราะเมื่อดิฉันฟังเนื้อเพลงบทนี้แล้วนั้น  ดิฉันรู้สึกชอบและเมื่อแปลความหมาย เนื้อเพลงบทนี้ออกมาก็มีความหมายที่ดี  ฟังแล้วเหมือนจะมีความหวังหรือไม่ก็ตามเขาก็จะไม่ยอมแพ้  ซึ่งในบทเพลงนี้นั้นสอนให้เรารู้จักคำว่าพยายามถึงจะสำเร็จก็ไม่ก็ตาม  ดังเนื้อเพลงที่ว่า  Cause  all  of  me.  Loves  all of  you.  Love  your  curves  and  all  your  edges.  All  your  perfect  imperfections.  Give  your  all  to  me.  I’ll  give  my  all  to  you.  You’re  my  end  and  my  beginning.  Even  when  I  lose  I’m  winning.  Cause  I  give  you  all  of  me.  And  you  give  me  all  of  you.  I  give  you  all  ,  all  of  me.And  you  give  me  all  ,  all  of  you  ,  oh.  จากเนื้อเพลง  All  of  me  นี้  ในบทดังกล่าวดิฉันสามารถที่จะแปลความหมายของบทเพลงท่อนนี้ออกมาได้ดังนี้  คือ  เพราะหัวใจทั้งหมดของฉัน  ฉันรักทุกอย่าง ๆ ในตัวของเธอ  ฉันรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ  บางอย่างอาจจะไม่สมบูรณ์แต่สำหรับฉันมันเพอร์เฟคเสมอ  เธอมอบทุกอย่างให้กับฉันและฉันเองก็จะมองทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอเช่นกัน  เธอก็คือจุดจบและจุดเริ่มต้นของฉัน  ถึงแม้ในตอนที่ฉันนั้นแพ้  แต่ฉันก็ยังสามรถชนะได้เพราะฉันนั้นมอบทุกอย่างให้กับเธอไปหมดแล้ว  และเธอก็ทุ่มเทให้ฉันทั้งตัวและหัวใจ
                                ต่อไปก็จะเป็นความรู้ที่ได้จากเพลง  All  of  me  ในส่วนของเรื่องไวยากรณ์  Grammar  ซึ่งประโยคต่อไปนี้จะเป็นหลักการไวยากรณ์ที่เกี่ยวกับเรื่อง  Tense  ซึ่งประโยคต่อไปนี้จะมีการของเวลาที่แตกต่างกัน  ซึ่งแต่ละ  Tense  นั้นก็จะมีโครงสร้างประโยคแตกต่างกันออกไป  ซึ่งในบทเพลงนี้ก็จะใช้ Tense  ดังนี้  คือ  (1)  Present  Simple  Tense  ตัวอย่างประโยคดังนี้  I’m  so  dizzy.  มีความหมายว่า  ฉันมึนงง  ประโยคต่อไป  คือ  I  give  you  all  ,  all  of  me.  มีความหมายว่า  ฉันมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอ  และ  Tense  ต่อไปคือ  Present  Continuous  Tense  ดังประโยคในเนื้อเพลงดังนี้  คือ  I’m  breathing  fine.  มีความหมายว่า  ฉันหายใจได้โดยปกติ  ประโยคต่อไป  คือ  The  world  is  beating  you  down.  มีความหมายว่า  โลกใบนี้กำลังจะทำร้ายเธอ  ประโยคต่อไป  คือ  It’s  riging.  มีความหมายว่า  มันกึกก้องอยู่ในหู  และอีกหนึ่ง  Tense  ที่ใช้ในเพลงนี้คือ  Future  Simple  Tense  ก็จะมีประโยคต่อไปนี้  คือ  I’ll  be  alright.  มีความหมายว่า  แต่ฉันจะไม่เป็นไร  ประโยคต่อไปคือ  I’ll  give  my  all  to  you.  มีความหมายว่า  ฉันมอบให้ทุก ๆ อย่างให้เธอในส่วนของ  Grammar  ในเพลงนี้นอกจากจะมีหลักการใช้ไวยากรณ์ในเรื่อง  Tense  ต่าง ๆ แล้วยังมีการใช้  noun  phrase  อีกด้วย  ซึ่งในเรื่องของ  noun  phrase  นี้  จะมีความหมายว่า  วลีที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม  ซึ่ง  noun  phrase  นี้จะเป็นได้ทั้งประธานและกรรมของประโยคซึ่งในเนื้อเพลงนี้ก็จะมี  noun  phrase  อยู่ด้วย  คือ  my  heart  ซึ่งจะมีความหมายว่าหัวใจของฉัน  ซึ่งจาก  noun  phrase       ข้างต้นนี้  ก็จะมีโครงสร้างดังนี้คือ  Determiner  +  noun  head  ต่อไปคือ  my  muse  แปลว่า  นางฟ้าของฉัน  ต่อไปคือ  my  head  มีความหมายว่า  หัวของฉัน  ต่อไปคือ  your  edges  มีความหมายว่า  สัดส่วนของคุณ  ซึ่งใน  noun  phrase    นี้จะใช้โครงสร้างประโยค  ดังต่อไปนี้คือ  Determiner  +  noun.
                                ดังนั้นดิฉันนั้นสามารถที่สรุปประเด็นความรู้ต่าง ๆ ที่ได้จากการเรียนรู้ในเรื่องไวยากรณ์  Grammar  ที่ได้จากการฟังเพลง  All  of  me  ชื่อศิลปิน  John  Legend  อัลบั้ม  Love  in  the  Future   ดิฉันได้ประเด็กนความรู้ที่สำคัญ ๆ หลากหลายประเด็นนั่นก็คือ  ดิฉันได้ความรู้ในเรื่องของการแปลเนื้อเพลงจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย  และดิฉันก็ยังได้ความหมายของคำศัพท์มากมายหลายคำที่ดิฉันยังไม่รู้คามหมาย  นอกจากนี้ก็ยังได้ความรู้ในส่วนของประโยคต่าง ไ ที่มีการให้หลักไวยากรณ์  เข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งหลักการต่าง ๆ ของเรื่องไวยากรณ์  Grammar  ก็จะมีเรื่องของ  Tense  ต่าง ๆ   ได้แก่  Present  Simple  Tense  ,  Present  Continuous  Tense  และ  Future  Simple  Tense  นอกจากเรื่อง  Tense  แล้ว  ก็จะมีในส่วนของเรื่องที่เป็น  noun  phrase  ที่สำคัญก็ยังได้เรียนรู้ในส่วนของการเชื่อมคำในประโยคอีกด้วย  รวมไปถึงทักษะการฟัง  คือ  เมื่อดิฉันได้ฟังเพลง  All  of  me  แล้ดิฉันก็ได้รู้สำเนียง  การออกเสียงของคำศัพท์บางคำ  และได้รู้ถึงการเน้นเสียง  stress  เพื่อที่จะทำให้ดิฉันนั้นฟังได้อย่างเข้าใจและตีคามหมายได้ถูกต้องตามเนื้อเพลง  และดิฉันก็ได้เรียนรู้ถึงสำเนียงของเจ้าของภาษาอย่างจริงจากการฟังเพลง  เมื่อดิฉันเปิดเพลงฟัง  All  of  me  หลาย ๆ ครั้งดิฉันก็สามารถที่จะร้องคลอไปตามผู้ร้องได้ในบางช่วง  ที่สำคัญที่สุดที่ได้จากการฝึกทักษะการฟังโดยการฟังเพลงสากล  All  of  me  นี้  ดิฉันสามรถนำความรู้ต่าง ๆ ที่ได้จากการเรียนรู้ในเนื้อเพลงนี้  ไปประยุกต์และปรับใช้ในการเรียนรู้ในชิตประจำวันของดิฉันได้  และดิฉันก็ได้เลียนแบบเสียงสำเนียงต่าง ๆ ของเจ้าของภาษาเพื่อที่จะไปฝึกพูดกับอาจารย์เจ้าของภาษาได้  อย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องที่สุด  ดิฉันหวังว่าดิฉันต้องทำให้ได้เพราะถ้าดิฉันฝึกฝนบ่อย ๆ นั้นจะทำให้ดิฉันเกิดความชำนาญ  และดิฉันก็จะมีความสุขกับการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ อีกด้วย
                                วันที่  21  /  10  /  58  ในวันนี้ดิฉันได้ฝึกทักษะจากการฟัง  โดยการที่ดิฉันได้ฝึกทักษะ การฟัง  จากการฟังเพลง  ซึ่งเพลงที่ดิฉันฟังนี้ก็จะเป็นเพลงสากลบทเพลงที่ดิฉันฟังนั้นมีชื่อว่า  I  want  you  to  know  ชื่อศิลปิน  Selena  Gomez  โดยเพลงที่จะมีความหมายโดยสั้น ๆ ว่า  มีผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่ง  ทั้งสองคู่เป็นคู่รักกัน  พวกเขามีช่วงเวลาที่เหมือนกัน  เขามีความสุขทุกครั้งที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน  และทั้งคู่ก็ได้ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ         มาพร้อมกัน  และจากชื่อเพลง  I  want  you  to  know  นี้  จะมีความหมายว่า  ฉันอยากให้คุณรู้  และในบทเพลงนี้จะกล่าวถึงการใช้หลักไวยากรณ์  Grammar  ในบทเพลงนี้  ซึ่งในบทเพลงนี้นั้นก็จะมีหลักไวยากรณ์ที่เห็นได้จากเนื้อเพลง  คือเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้  คือเรื่อง  Tense  ,  noun  phrase  ,ส่วนเรื่องของคำศัพท์โดยรวมของบทเพลงนี้เป็นคำศัพท์ที่บางคำนั้นดิฉันรู้ความหมายมาบ้างแล้ว  ทำให้ดิฉันสามารถแปลเนื้อเพลงได้โดยไม่ต้องเปิดหาความหมายของคำศัพท์จากพจนานุกรมภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
                                ในส่วนของเรื่องคำศัพท์ที่มีในบทเพลง  I  want  you  to  know  บางคำที่ดิฉันไม่รู้ความหมายของคำศัพท์นั้น  ที่ดิฉันจะนำมาแปลเป็นเนื้อเพลง  ซึ่งก่อนที่ดิฉันจะแปลเป็นเนื้อเพลงได้ทั้งหมดนั้น  ดิฉันต้องหาความหมายของคำศัพท์บางคำที่ดิฉันยังไม่รู้ความหมายมาก่อน  ก่อนที่ดิฉันจะสามารถแปลเนื้อเพลงออกมาได้ทั้งหมด  ซึ่งมีคำศัพท์ในเพลงนี้ที่ดิฉันยังไม่รู้ความหมาย  คือคำศัพท์ดังต่อไปนี้  คือ  bleed  (v)  ถ่ายเลือด  เลือดออก  ,  course  (n)  ช่วงเวลา  แนวทางปฏิบัติ  ลำดับเหตุการณ์  ,  slippin  (v)  ทำให้ไกลออกไป  ,  chain  (v)  กักตัว  ล่ามโซ่  ,  reaction  (n)  การตอบสนอง  ปฏิกิริยาตอบกลับ  ,  fraction  (n)  ,  จำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ,  storm  (n)  พายุ  การโหมกระหน่ำ  การแสดงออกอย่างรุนแรง  ,  covered  (adj)  ที่คลุมหน้าไว้  ,  force  (n)  กำลัง  คนหรือสิ่งที่มีอำนาจหรืออิทธิพล  ,  reflection  (n)  การสะท้อน  ภาพสะท้อน  การไตร่ตรอง  ,  glow  (n)  แสงแวววาว  เปล่งแสงออกมา  ซึ่งความหมายจองคำศัพท์เหล่านี้นั้นนอกจากเราจะต้องรู้ในส่วนของความหมายแล้วนั้นเราต้องรู้ชนิดและหน้าที่ของคำศัพท์คำนั้นอีกด้วย  part  of   speech  เพื่อที่เราจะนำมาต่อยอดในการแปลความหมายจากเนื้อเพลงได้ตรงและถูกต้องตามบริบทของคำศัพท์คำนั้นในเนื้อเพลงและเราก็สามารถแปลเนื้อเพลงได้อย่างถูกต้อง  และมีความเข้าใจเนื้อเพลง  โดยที่เราจะแปลเนื้อเพลงออกมาด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไพเราะและภาษาที่สละสลวย  เข้าใจง่าย  เมื่อผู้อ่านอ่านเนื้อเพลงที่เราแปลออกมาแล้วนั้น  ผู้อ่านก็จะเกิดความเข้าใจในภาษาและเนื้อเพลงว่าเพลงนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร  และผู้อ่านก็จะเกิดความประทับใจในการอ่านและผู้อ่านก็จะมีความสุขและสนุกกับการอ่านงานแปลของเรา
                                                จากเนื้อหาของบทเพลง  I  want  you  to  know  นี้  นอกจากเราได้เรียนรู้ในเรื่องของความหมายของคำศัพท์แล้นั้น  เราสามารถเรียนรู้ในเรื่องของการออกเสียง  การเชื่อมเสียงของคำในประโยค  ถ้าเราฟังเพลงนี้แล้วคำบางคำเราฟังไม่ออกว่าเป็นคำอะไร  เพราะเราไม่มีความรู้ในเรื่องการของเชื่อมคำนั่นเอง  เมื่อเราได้เรียนรู้การเชื่อมคำในประโยคนั้น  หากเราฟังเพลงในครั้งต่อ ๆ ไป  เมื่อเราได้ยินเพลงเราก็จะสามารถรู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นการเชื่อมคำระหว่าง  คำอะไรกับคำอะไร  เราสามารถแยกออกมาได้แต่ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้ในส่วนของการเชื่อมเสียงคำในประโยคนั้น  เราก็จะไม่รู้และไม่เข้าใจเลยว่าเสียงที่เชื่อมคำนั้นมาจากค่าอะไรบ้าง  และเราก็ไม่รู้ความหมายที่ถูกต้องและแท้จริงของศัพท์นั้oได้เลย  ซึ่งในบทเพลงนี้ก็มีการเชื่อคำในประโยคเช่นเดียวกัน  ตัวอย่างในประโยคในบทเพลงนี้  ได้แก่  And  once  again  I’m  yours  in  fractions.  ในประโยคนี้เราเห็นได้ว่ามีการเชื่อมคำระหว่างคำว่า  once  again  จะเชื่อมได้เป็น  oncagain  อ่านออกเสียงได้ว่า  วัทซ์สะเกน  และอีกหนึ่งจุดที่มีการเชื่อมคำในประโยค  นี้ก็คือ  คำว่า  yours  กับ  in  จะได้เป็น  yoursin  ออกเสียงเป็น  ยัวร์ซิน  ซึ่งในประโยคนี้ก็จะมีความหมายว่า  และฉันก็กลายเป็นของเธออีกครั้งในทุก ๆ ส่วนประโยคต่อไป  I  want  you  to  know  that  it’s  our  time   คำว่า  want  to  =  คำว่า  wanna  แปลว่า  ต้องการจะหรือว่าอยากจะ  ซึ่งในประโยคนี้จะมีความหมายว่า  ฉันอยากจะให้เธอรู้น่ะ  ว่านี่คือช่วงเวลาของเรา  ประโยคถัดไปคือ  I’m  slippin  down  a  chain  reaction.  ซึ่งประโยคนี้  คำว่า  slippin  นั้น  ย่อมาจากคำว่า  slipping  ซึ่งแปลว่า  ลื่นไหล  ซึ่งเราสามารถแปลความหมายทั้งประโยคได้ว่า  ฉันลื่นไหลไปกับปฏิกิริยานี้  ประโยคถัดไป  คือ  Happy  it’s  raining  tonight.  จากประโยคนี้  คำว่า  Happy  ก็มีความหมายว่า  ที่รัก”  ซึ่งเราสามารถแปลความหมายของทั้งประโยคได้ว่า  ที่รัก  สายฝนซัดกระหน่ำในคืนนี้
                                นอกจากนี้ดิฉันก็ยังได้เรียนรู้ในส่วนของการใช้คำ  หรือการเล่นคำเพื่อให้เกิดภาษาที่สละสลวยขึ้น  และทำให้เกิดถ้อยคำที่ไพเราะขึ้นในบทเพลงนั้น  ซึ่งเมื่อเราอ่านบทเพลงหรือร้องตามเนื้อเพลงแล้วนั้นเราก็จะเห็นได้ว่าเพลงนั้นมีเสน่ห์ในการแต่ง  เพราะในเพลงนี้มีการเล่นคำที่หลากหลาย  เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วก็จะเกิดความประทับใจซึ่งในเนื้อเพลง  I  want  you  to  know  นี้  จะมีการเล่นคำหลายประโยคเลย  ดังประโยคที่ว่า  And  here  I  go  here   I  go  here  I  go  go.  จะเห็นได้ว่าประโยคนี้มีการเล่นคำหลายคำ  ในประโยคนี้จะมีความหมายว่า  และฉันจะพุ่งตรงไปเดินหน้าต่อไป  ประโยคต่อไป  คือ  Or  tell  me  lies  tell  me  lies  lies  ซึ่งประโยคนี้ก็จะมีความหมายว่า  หรือโกหกฉันก็ยังดี  ประโยคต่อไป  คือ  It’s  all  the  same  all  the  same  all  the  same  glow.  ในประโยคนี้ก็จะมีความหมายว่า  ก็จะมีประกายแบบเดียวกัน  ซึ่งจากตัวอย่างประโยคที่ยกมาจากในเนื้อเพลง  I  want  you  to  know  นั้น  จะเห็นได้ว่ามีการเล่นคำในแต่ละประโยคเพื่อให้เกิดเป็นเนื้อเพลงที่มีเสน่ห์  เพราะมีการเล่นคำที่หลากหลายแต่เมื่อแปลความหมายออกมานั้นแต่ละประโยคก็จะแปลความหมายออกมาแบบกระชับได้ใจความไม่ใช่แปลออกมตรงตามทุกคำศัพท์
                                นอกจากดิฉันความรู้ในส่วนของคำศัพท์  ความหมายของคำศัพท์  การเชื่อมเสียงคำศัพท์ในแต่ละประโยคและการเล่นคำในการแต่งเนื้อเพลงแล้วนั้น  ดิฉันมีความชอบเนื้อเพลงท่อนหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นอย่างมาก  เมื่อดิฉันฟังเนื้อเพลงท่อนนี้แล้วนั้น  ดิฉันรู้สึกชอบและเมื่อแปลความหมายของเนื้อเพลงท่อนนี้ออกมานั้น  ความหมายในท่อนนี้ก็จะมีความหมายที่ดี  ฟังแล้วก็ได้ข้อคิดหลาย ๆ อย่าง  และสามารถนำความหมายที่ได้จากเนื้อเพลงนำไปปรับใช้ในการดำรงชีวิตในประจำวันได้อีกด้วย  จะเห็นได้ว่าเนื้อเพลงในท่อนนี้จะสอนให้เรามีความหวังและความพยายาม  ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม  ดังเนื้อเพลงที่ว่า  I  want  you  to  know  that  it’s  our  time.  You  and  me  bleed  the  same  light.  I  want  you  to  know  that  I’m  all  yours.  You  and  me  we’re  the  same  force.  I  want  you  to  know  that  it’s  our  time.  You  and  me  bleed  the  same  light.  I  want  you  to  know  that  I’m  all  your.  You  and  me  run  the  same  course.  You  and  me  run  the  same  course.  ซึ่งเนื้อเพลงในท่อนนี้ดิฉันสามารถแปลความหมายออกมาได้ดังนี้  คือ  ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่านี่คือช่วงเวลาของเรา  เธอกับฉันต่างก็แสงส่องประกายแบบเดียวกัน  ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่า  ฉันจะเป็นของเธอคนเดียว  ก็เปรียบเสมือนพลังงานในรูปแบบเดียวกัน  ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่านี่คือช่วงเวลาของเรา  เธอและฉันต่างก็ช่องประกายแสดงออกมาในแบบเหมือนกัน  ฉันอยากให้เธอรู้เอาไว้ว่าฉันเป็นของเธอคนเดียวน่ะ  เธอและฉันเราวิ่งหรือเดินไปในเส้นทางเดียวกัน
                                ต่อไปก็จะเป็นความรู้ที่ได้จากเพลง  I  want  you  to  know  ในส่วนของเรื่องไวยากรณ์  Grammar  ซึ่งประโยคต่อไปนี้จะมีการบอกกาลของเวลาที่แตกต่างกัน  ซึ่งแต่ละ  Tense  นั้นจะมีโครงสร้างประโยคที่แตกต่างกันออกไป  ซึ่งในบทเพลงนี้ก็จะใช้  Tense  ดังนี้  คือ  Present  Simple  Tense  ดังตัวอย่างประโยคต่อไปนี้  คือ  You  and  me  bleed  the  same  light.  ในประโยคนี้จะมีความหมายว่า  เธอและฉันต่างส่องประกายแสงในแบบเดียวกัน  ประโยคต่อไป  คือ  You  and  me  run  the  same  course.  ในประโยคนี้มีความหมายว่า  เธอและฉันเราวิ่งไปบนเส้นทางเดียวกัน     Tense  ต่อไปที่มีในเนื้อเพลงคือ  Present  Continuous  Tense  ดังประโยคในเนื้อเพลงที่ว่า  I’m  slipping  down  a  chain  reaction.  ในประโยคนี้ก็จะมีความหมายว่า  ฉันลื่นไหลไปตามปฏิกิริยาลูกโซ่  ประโยคถัดไป  คือ  Honey  it’s  raining  tonight.  ในประโยคจะมีความหมายว่า  ที่รัก  ฝนซัดกระหน่ำในค่ำคืนนี้  ในส่วนของ  Grammar  ในเพลงนี้นอกจากจะมีหลักการใช้ไวยากรณ์
ในเรื่อง  Tense  ต่าง ๆ แล้ว  ยังมีการใช้  noun  phrase  อีกด้วย  ในเรื่องของ  noun  phrase  นี้จะมีความหมายว่า    วลีที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม  ซึ่ง  noun  phrase  ซึ่งจะเป็นได้ทั้งประธานและกรรมของประโยค  ซึ่งในเนื้อเพลงนี้  ก็จะมี  noun  phrase  อยู่ด้วย  ก็คือ  out  time  จะมีความหมายว่า  เวลาของเรา  มีโครงสร้างประโยคดังนี้คือ  Determiner  +  Noun  ประโยคถัดไป  คือ  your  eyes  แปลว่า  ดวงตาของคุณ  มีโครงสร้างประโยค  Determiner  +  noun
                                ดังนั้นดิฉันสามารถที่จะสรุปประเด็นความรู้ต่าง ๆ ที่ได้จากการเรียนรู้ในเรื่องของไวยากรณ์  Grammar  ที่ได้จากการฟังเพลง  I  want  you  to  know  ชื่อศิลปิน  Selena  Gomez  ดิฉันได้ประเด็นคามรู้ที่สำคัญ ๆ หลากหลายประเด็นนั่นก็คือ  ดิฉันได้ความรู้ในเรื่องของการแปลเนื้อเพลงจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทยและดิฉันยังได้รู้ความหมายของคำศัพท์ที่ไม่รู้มากมายหลายคำ  นอกจากนี้ก็ยังได้ความรู้ในส่วนของรูปแบบประโยคต่าง ๆ ที่มีการใช้หลักไวยากรณ์  เข้ามาเกี่ยวข้อง  ซึ่งหลักการต่าง ๆ ของเรื่องไวยากรณ์  Grammar  ก็จะมีเรื่องราวของ  Tense  ต่าง ๆ ได้แก่  Present  Simple  Tense  ,  Present  Continuous  Tense  นอกจาก  Tense  แล้วก็จะมีในส่วนของการเชื่อมคำในประโยค  และการเล่นคำในการแต่งประโยคในเนื้อเพลงอีกด้วย  รมไปถึงทักษะการฟังคือ  เมื่อดิฉันได้ฟังเพลง  I  want  you  to  know  แล้วดิฉันก็ได้รู้สำเนียง  การออกเสียงของคำศัพท์บางคำ  และได้รู้ถึงการเน้นเสียง  stress  เพื่อที่จะทำให้ดิฉันนั้นฟังได้อย่างเข้าใจและตีความหมายได้ถูกต้องตามเนื้อเพลง  และดิฉันก็ได้เรียนรู้สำเนียงการออกเสียงจากเจ้าของภาษาอย่างแท้จริงและที่สำคัญที่สุดที่ดิฉันได้จาการฝึกทักษะในครั้งนี้ก็คือ  ดิฉันสามารถนำความรู้ที่ได้จากการฟังเพลงนี้นำมาปรับใช้ในรูปแบบการเรียนและการใช้ชีวิตในชีวิตประจำวันได้ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกับชาต่างชาติเพราะเราก็จะได้เลียนแบบสำเนียงจากที่เราฟังเพลงมาและเราก็จะพูดสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างเป็นธรรมชาติ  และเราเองก็จะมีความสุขในการสนทนาอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น