Learning Log 12
(out class)
สังคมไทยในปัจจุบันนั้นได้มีการเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลายเราสามารถเรียนรู้ได้มากมายหลากหลายภาษา
และภาษาที่มีความสำคัญต่อการสื่อสารนอกจากจะเป็นภาษาไทยคือภาษาแม่ของเราแล้ว เรามีความจำเป็นจะต้องเรียนรู้ภาษาอื่น ๆ
อีกด้วย
หนึ่งในนั้นก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษในยุคนั้น
ภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในการสื่อสาร เพราะยุคนี้เป็นที่ภาษาอังกฤษมีความนิยม มีความรุ่งเรืองในการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ได้มีการกำเนิดแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
ที่มีความหลากหลายทางภาษา
ซึ่งแหล่งข้อมูลต่าง ๆ นั้นจะเป็นแหล่งให้ความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษนอกจากนี้ก็ยังมีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในรูปแบบต่าง
ๆ ที่มีความหลากหลายและแต่ละรูปแบบนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งการจัดการเรียนการสอนนั้นมี 2 ประเภท คือ
การจัดการเรียนการสอนในระบบ
และ การจัดการเรียนการสอนนอกระบบ นอกจากนี้ก็ยังมีสื่อการเรียนรู้อื่น ๆ
อีกด้วย
ซึ่งสื่อการเรียนรู้นั้นก็จะมีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อใช้ในการเสริมความรู้ทางด้านวิชาภาษาอังกฤษให้แก่ผู้เรียนสื่อที่มีความนิยมในปัจจุบัน เช่น
สื่อโปรแกรมอินเตอร์เน็ตต่าง ๆ เว็บไซต์ต่าง ๆ วิทยุ โทรทัศน์
และวีดีโอต่าง ๆ รวมไปถึงอินเตอร์เน็ตด้วย
ซึ่งถ้าใช้สื่อดังกล่าวในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนั้น ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนหรือบุคคลทั่ว
ๆ ไปได้มีการฝึกฝนทักษะทางด้านวิชาภาษาอังกฤษในรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ถ้าเราอยากให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีมีคุณภาพนั้น เราควรจะมีการประยุกต์ มีหลักการต่าง ๆ และมีกลยุทธ์ในการเรียนรู้
ทางด้านทักษะภาษาอังกฤษ
จะประกอบไปด้วยกลยุทธ์ทั้งหมด 10 องค์ประกอบ นั่นก็คือ
เพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงและมีความเข้าใจ เพราะการเรียนรู้ทางภาษาที่ดีนั้นก็คือการฝึกฝน ฝึกปฏิบัติในการใช้ภาษาอย่างซ้ำ ๆ
จากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่จนกระทั่งผู้เรียนสามรถทำทักษะต่าง ๆ
ที่ได้จากการฝึกฝนนั้นนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องด้วยความชำนาญ
ดังนั้นแล้ดิฉันต้องมีการฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษในทักษะต่าง ๆ คือ ฟัง
พูด อ่าน และเขียน
เพื่อที่จะนำความรู้
คามเข้าใจและข้อมูลที่ถูกต้อง
มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนและการสื่อสารภาษาอังกฤษในชิตประจำวันของเราได้อย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ และเราสามารถนำความรู้ที่ได้จากการฝึกฝนมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์และเกิดคามชำนาญในการเรียนรู้
วันที่ 20
/ 10 / 58 ในวันนี้ดิฉันได้เริ่มต้นจากการฝึกทักษะทางด้านการฟัง
โดยที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังนี้จากการที่ดิฉันฟังเพลง
ซึ่งเป็นเพลงสากลซึ่งบทเพลงที่ดิฉันฟังนี้มีชื่อบทเพลงว่า All
of me ชื่อศิลปิน John
Legend อัลบั้ม Love
in the Future
โดยเพลงนี้จะมีความหมายสั้น ๆ
โดยสรุปได้ว่าในเนื้อเพลงจะมีความหมายเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีความรักต่อผู้หญิงคนหนึ่งมาก เขารักเธอมาก
เขารักเธอหมดทั้งตัวและหัวใจของเขา
เขารักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ
และจากชื่อเพลง All of me จะมีความหมายว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน” และในบทเพลงนี้จะกล่าถึงหลักการใช้ไวยากรณ์ Grammar ในบทเพลงนี้
ซึ่งในบทเพลงนี้นั้นจะมีไวยากรณ์ที่ใช้ส่วนมากที่เห็นได้ชัดเจนในประโยคของเนื้อเพลง คือ
เรื่องต่าง ๆ ดังนี้ Tense ,
Noun phrase ส่วนของคำศัพท์โดยรวมของบทเพลงนี้เป็นคำศัพท์ที่บางคำนั้นดิฉันรู้ความหมายบ้างแล้ว
ทำให้ดิฉันสามารถแปลเนื้อหาของเพลงได้โดยที่ดิฉันนั้นไม่ต้องเปิดหาความหมายของคำศัพท์จาก dictionary หรือพจนานุกรมภาษาอังกฤษแปลเป็นภาษาไทย
ในส่วนของคำศัพท์ที่มีในบทเพลง All
of me
บางคำที่ดิฉันไม่รู้ความหมายของคำศัพท์นั้นที่ดิฉันจะนำมาแปลเป็นเนื้อเพลง
ซึ่งก่อนที่ดิฉันจะแปลเนื้อเพลงได้ทั้งหมดนั้นดิฉันต้องหาคามหมายของคำศัพท์บางคำที่ดิฉันไม่รู้ความหมายก่อน ก่อนที่จะแปลเนื้อเพลงได้ทั้งหมด
ซึ่งคำศัพท์ที่ดิฉันไม่รู้ความหมายก็คือคำศัพท์เหล่านี้ คือ mouth (n) ปาก , kicking
(v) ผลัก ,
spinning (n) การปั่นด้วย ,
pin (n) เข็มหมุด ,
magical (adj) วิเศษณ์ ,
mystery (n) ความลึกลับ ,
dizzy (adj) โง่เขลา ,
rarves (n) เส้นโค้ง ,
imperfections (n) ข้อบกพร่อง ,
winning (adj) ซึ่งมีชัยชนะ ,
mood (n) อารมณ์ ,
muse (v) คิดตรึกตรอง ,
distraction (n) สิ่งที่ทำให้ไขว้เขว ,
edges (n) ขอบ ,
ความแข็งแรง , risking
(adj) เป็นอันตราย ,
เป็นการเสี่ยง , คามเสี่ยง ซึ่งความหมายของคำศัพท์เหล่านี้นั้นนอกจากจะต้องรู้คามหมายแล้วเราต้องรู้ชนิดของคำศัพท์คำนั้น
ๆ อีกด้วย port of
speech และเราก็ยังต้องรู้หน้าที่ของคำศัพท์เหล่านี้อีกด้วย
เพื่อที่เราจะนำมาต่อยอดในการแปลความจากเนื้อเพลงได้ตรงตามบริบทคำศัพท์ในเนื้อเพลง และเราก็สามารถแปลเนื้อเพลงได้อย่างถูกต้อง และเข้าใจ
โดยที่เราจะแปลเนื้อเพลงออกมาได้ด้วยการใช้ภาษาที่สละสลวย
เมื่อผู้อ่านอ่านเนื้อเพลงที่เราแปลออกมาแล้วนั้นผู้อ่านก็จะเกิดคามเข้าใจในเนื้อเพลง่าเนื้อเพลงนี้มีความหมายว่าอย่างไร และผู้อ่านก็จะเกิดความประทับใจในการอ่าน และจะมีความสุขกับเนื้อเพลงที่เราแปล
จากเนื้อหาของบทเพลง All
of me นี้
นอกจากเราได้เรียนรู้ในเรื่องของความหมายของคำศัพท์แล้วนั้น
เรายังสามารถเรียนรู้ในเรื่องของการออกเสียง การเชื่อมเสียงของคำ หรือการเชื่อมของประโยคได้อีกด้วย ถ้าเราฟังเพลงนี้แล้วบางคำเราก็จะฟังไม่ชัด เพราะเราไม่รู้ในเรื่องของการออกเสียงเชื่อมคำนั้นเอง
เมื่อเราได้เรียนรู้การเชื่อมเสียงคำในประโยคนั้นแล้ว หากเราฟังเพลงในครั้งต่อ ๆ ไป พอเราได้ยินถึงเราก็จะรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นคำเชื่อมคำอะไรกัน
คำอะไร
แต่เรายังไม่มีได้เรียนรู้ในส่วนของการออกเสียงเชื่อมคำนั้น เราก็จะฟังไม่ออกเลยว่าออกเสียงคำว่าอะไร
และเราก็จะไม่รู้ความหมายที่ถูกต้องและแท้จริงของคำศัพท์นั้นได้เลยซึ่งในเพลงนี้ก็มีการเชื่อมคำในประโยคเช่นเดียวกัน เช่นตัวอย่างในประโยคบทเพลงนี้ คือ
Drawing me in
, and you
kicking me out. คำว่า me in จะออกเสียงรวมกันจาก มี อิน
ก็จะเป็น mein เมน ส่วนคำว่า
me out มี เอาท์
เมื่อออกเสียงรวมกันก็จะได้เป็น meout เมียอ้าวท์ ซึ่งประโยคนี้จะมีความหมายว่า ดึงดูดผมเข้าผมและผลักผมออกไป ประโยคต่อไปคือ what’s
going on in
that beautiful mind. ในประโยคนี้ก็จะมีการเชื่อมคำระหว่างคำศัพท์ 3
คำ คือ going
on in จะออกเสียงได้ว่า โกอิ้งออนอิน
ซึ่งประโยคนี้จะมีความหมายว่า
เกิดอะไรขึ้นกับใจที่งดงาม ประโยคต่อไปคือ Loves all
of you ซึ่งในประโยคนี้จะมีความหมายว่า รักทุกอย่างที่เป็นคุณ
นอกจากการเชื่อมเสียงประโยคแล้วยังมีคำที่ใช้แทนกันด้วย ได้แก่
คำว่า kickin มาจากคำว่า kicking เป็นคำ slang
แปลว่า
มีชีวิตชีวา อีกคำหนึ่งก็คือ คำว่า
risking มาจากคำว่า risky
แปลว่า
เป็นอันตราย หรือความเสียงนั่นเอง
นอกจากดิฉันได้คามรู้ในส่วนของคำศัพท์
ความหมายของคำศัพท์และการออกเสียงเชื่อมคำในประโยคจากเนื้อเพลงแล้ว
ดิฉันมีความชอบเนื้อเพลงบทหนึ่งดังต่อไปนี้ เป็นอย่างมาก
เพราะเมื่อดิฉันฟังเนื้อเพลงบทนี้แล้วนั้น
ดิฉันรู้สึกชอบและเมื่อแปลความหมาย เนื้อเพลงบทนี้ออกมาก็มีความหมายที่ดี
ฟังแล้วเหมือนจะมีความหวังหรือไม่ก็ตามเขาก็จะไม่ยอมแพ้ ซึ่งในบทเพลงนี้นั้นสอนให้เรารู้จักคำว่าพยายามถึงจะสำเร็จก็ไม่ก็ตาม ดังเนื้อเพลงที่ว่า Cause all
of me. Loves
all of you. Love
your curves and
all your edges.
All your perfect
imperfections. Give your
all to me.
I’ll give my
all to you.
You’re my end
and my beginning.
Even when I
lose I’m winning.
Cause I give
you all of me. And
you give me
all of you.
I give you
all , all of me.And you
give me all
, all of
you , oh. จากเนื้อเพลง All of
me นี้
ในบทดังกล่าวดิฉันสามารถที่จะแปลความหมายของบทเพลงท่อนนี้ออกมาได้ดังนี้ คือ
เพราะหัวใจทั้งหมดของฉัน
ฉันรักทุกอย่าง ๆ ในตัวของเธอ
ฉันรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ
บางอย่างอาจจะไม่สมบูรณ์แต่สำหรับฉันมันเพอร์เฟคเสมอ
เธอมอบทุกอย่างให้กับฉันและฉันเองก็จะมองทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอเช่นกัน เธอก็คือจุดจบและจุดเริ่มต้นของฉัน ถึงแม้ในตอนที่ฉันนั้นแพ้
แต่ฉันก็ยังสามรถชนะได้เพราะฉันนั้นมอบทุกอย่างให้กับเธอไปหมดแล้ว และเธอก็ทุ่มเทให้ฉันทั้งตัวและหัวใจ
ต่อไปก็จะเป็นความรู้ที่ได้จากเพลง All of
me ในส่วนของเรื่องไวยากรณ์ Grammar ซึ่งประโยคต่อไปนี้จะเป็นหลักการไวยากรณ์ที่เกี่ยวกับเรื่อง Tense
ซึ่งประโยคต่อไปนี้จะมีการของเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละ
Tense นั้นก็จะมีโครงสร้างประโยคแตกต่างกันออกไป ซึ่งในบทเพลงนี้ก็จะใช้ Tense ดังนี้ คือ (1) Present
Simple Tense ตัวอย่างประโยคดังนี้ I’m
so dizzy. มีความหมายว่า ฉันมึนงง
ประโยคต่อไป คือ I
give you all
, all of
me. มีความหมายว่า ฉันมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอ และ Tense ต่อไปคือ Present Continuous
Tense ดังประโยคในเนื้อเพลงดังนี้ คือ I’m breathing
fine. มีความหมายว่า ฉันหายใจได้โดยปกติ ประโยคต่อไป
คือ The world
is beating you
down. มีความหมายว่า โลกใบนี้กำลังจะทำร้ายเธอ ประโยคต่อไป
คือ It’s riging.
มีความหมายว่า
มันกึกก้องอยู่ในหู
และอีกหนึ่ง Tense ที่ใช้ในเพลงนี้คือ Future
Simple Tense ก็จะมีประโยคต่อไปนี้ คือ I’ll be
alright. มีความหมายว่า แต่ฉันจะไม่เป็นไร ประโยคต่อไปคือ I’ll
give my all
to you. มีความหมายว่า ฉันมอบให้ทุก ๆ อย่างให้เธอ. ในส่วนของ Grammar ในเพลงนี้นอกจากจะมีหลักการใช้ไวยากรณ์ในเรื่อง Tense
ต่าง ๆ แล้วยังมีการใช้
noun phrase อีกด้วย ซึ่งในเรื่องของ noun
phrase นี้ จะมีความหมายว่า วลีที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม ซึ่ง noun phrase
นี้จะเป็นได้ทั้งประธานและกรรมของประโยคซึ่งในเนื้อเพลงนี้ก็จะมี noun
phrase อยู่ด้วย คือ my heart ซึ่งจะมีความหมายว่าหัวใจของฉัน
ซึ่งจาก noun phrase
ข้างต้นนี้ ก็จะมีโครงสร้างดังนี้คือ Determiner +
noun head ต่อไปคือ my
muse แปลว่า นางฟ้าของฉัน
ต่อไปคือ my head มีความหมายว่า หัวของฉัน ต่อไปคือ
your edges มีความหมายว่า สัดส่วนของคุณ
ซึ่งใน noun phrase
นี้จะใช้โครงสร้างประโยค
ดังต่อไปนี้คือ Determiner + noun.
ดังนั้นดิฉันนั้นสามารถที่สรุปประเด็นความรู้ต่าง
ๆ ที่ได้จากการเรียนรู้ในเรื่องไวยากรณ์ Grammar ที่ได้จากการฟังเพลง All
of me ชื่อศิลปิน John
Legend อัลบั้ม Love
in the Future
ดิฉันได้ประเด็กนความรู้ที่สำคัญ ๆ
หลากหลายประเด็นนั่นก็คือ ดิฉันได้ความรู้ในเรื่องของการแปลเนื้อเพลงจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย
และดิฉันก็ยังได้ความหมายของคำศัพท์มากมายหลายคำที่ดิฉันยังไม่รู้คามหมาย นอกจากนี้ก็ยังได้ความรู้ในส่วนของประโยคต่าง ไ
ที่มีการให้หลักไวยากรณ์
เข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งหลักการต่าง ๆ ของเรื่องไวยากรณ์ Grammar ก็จะมีเรื่องของ Tense
ต่าง ๆ ได้แก่ Present Simple
Tense , Present
Continuous Tense และ Future
Simple Tense นอกจากเรื่อง Tense
แล้ว
ก็จะมีในส่วนของเรื่องที่เป็น noun phrase
ที่สำคัญก็ยังได้เรียนรู้ในส่วนของการเชื่อมคำในประโยคอีกด้วย รวมไปถึงทักษะการฟัง คือ
เมื่อดิฉันได้ฟังเพลง All of
me แล้ดิฉันก็ได้รู้สำเนียง การออกเสียงของคำศัพท์บางคำ และได้รู้ถึงการเน้นเสียง stress
เพื่อที่จะทำให้ดิฉันนั้นฟังได้อย่างเข้าใจและตีคามหมายได้ถูกต้องตามเนื้อเพลง
และดิฉันก็ได้เรียนรู้ถึงสำเนียงของเจ้าของภาษาอย่างจริงจากการฟังเพลง เมื่อดิฉันเปิดเพลงฟัง All
of me หลาย ๆ
ครั้งดิฉันก็สามารถที่จะร้องคลอไปตามผู้ร้องได้ในบางช่วง
ที่สำคัญที่สุดที่ได้จากการฝึกทักษะการฟังโดยการฟังเพลงสากล All
of me นี้ ดิฉันสามรถนำความรู้ต่าง ๆ
ที่ได้จากการเรียนรู้ในเนื้อเพลงนี้
ไปประยุกต์และปรับใช้ในการเรียนรู้ในชิตประจำวันของดิฉันได้ และดิฉันก็ได้เลียนแบบเสียงสำเนียงต่าง ๆ
ของเจ้าของภาษาเพื่อที่จะไปฝึกพูดกับอาจารย์เจ้าของภาษาได้ อย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องที่สุด
ดิฉันหวังว่าดิฉันต้องทำให้ได้เพราะถ้าดิฉันฝึกฝนบ่อย ๆ
นั้นจะทำให้ดิฉันเกิดความชำนาญ
และดิฉันก็จะมีความสุขกับการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ อีกด้วย
วันที่ 21 /
10 / 58 ในวันนี้ดิฉันได้ฝึกทักษะจากการฟัง
โดยการที่ดิฉันได้ฝึกทักษะ การฟัง จากการฟังเพลง
ซึ่งเพลงที่ดิฉันฟังนี้ก็จะเป็นเพลงสากลบทเพลงที่ดิฉันฟังนั้นมีชื่อว่า I
want you to
know ชื่อศิลปิน Selena
Gomez โดยเพลงที่จะมีความหมายโดยสั้น
ๆ ว่า มีผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่ง ทั้งสองคู่เป็นคู่รักกัน พวกเขามีช่วงเวลาที่เหมือนกัน เขามีความสุขทุกครั้งที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน และทั้งคู่ก็ได้ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มาพร้อมกัน และจากชื่อเพลง I
want you to
know นี้ จะมีความหมายว่า ฉันอยากให้คุณรู้
และในบทเพลงนี้จะกล่าวถึงการใช้หลักไวยากรณ์ Grammar ในบทเพลงนี้ ซึ่งในบทเพลงนี้นั้นก็จะมีหลักไวยากรณ์ที่เห็นได้จากเนื้อเพลง คือเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือเรื่อง
Tense , noun
phrase ,ส่วนเรื่องของคำศัพท์โดยรวมของบทเพลงนี้เป็นคำศัพท์ที่บางคำนั้นดิฉันรู้ความหมายมาบ้างแล้ว
ทำให้ดิฉันสามารถแปลเนื้อเพลงได้โดยไม่ต้องเปิดหาความหมายของคำศัพท์จากพจนานุกรมภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
ในส่วนของเรื่องคำศัพท์ที่มีในบทเพลง I want
you to know บางคำที่ดิฉันไม่รู้ความหมายของคำศัพท์นั้น ที่ดิฉันจะนำมาแปลเป็นเนื้อเพลง
ซึ่งก่อนที่ดิฉันจะแปลเป็นเนื้อเพลงได้ทั้งหมดนั้น ดิฉันต้องหาความหมายของคำศัพท์บางคำที่ดิฉันยังไม่รู้ความหมายมาก่อน
ก่อนที่ดิฉันจะสามารถแปลเนื้อเพลงออกมาได้ทั้งหมด
ซึ่งมีคำศัพท์ในเพลงนี้ที่ดิฉันยังไม่รู้ความหมาย คือคำศัพท์ดังต่อไปนี้ คือ bleed (v) ถ่ายเลือด , เลือดออก ,
course (n) ช่วงเวลา ,
แนวทางปฏิบัติ , ลำดับเหตุการณ์ ,
slippin (v) ทำให้ไกลออกไป ,
chain (v) กักตัว ,
ล่ามโซ่ , reaction
(n) การตอบสนอง ,
ปฏิกิริยาตอบกลับ , fraction
(n) , จำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ , storm
(n) พายุ ,
การโหมกระหน่ำ , การแสดงออกอย่างรุนแรง ,
covered (adj) ที่คลุมหน้าไว้ ,
force (n) กำลัง ,
คนหรือสิ่งที่มีอำนาจหรืออิทธิพล ,
reflection (n) การสะท้อน ,
ภาพสะท้อน , การไตร่ตรอง ,
glow (n) แสงแวววาว ,
เปล่งแสงออกมา
ซึ่งความหมายจองคำศัพท์เหล่านี้นั้นนอกจากเราจะต้องรู้ในส่วนของความหมายแล้วนั้นเราต้องรู้ชนิดและหน้าที่ของคำศัพท์คำนั้นอีกด้วย part
of speech
เพื่อที่เราจะนำมาต่อยอดในการแปลความหมายจากเนื้อเพลงได้ตรงและถูกต้องตามบริบทของคำศัพท์คำนั้นในเนื้อเพลงและเราก็สามารถแปลเนื้อเพลงได้อย่างถูกต้อง และมีความเข้าใจเนื้อเพลง
โดยที่เราจะแปลเนื้อเพลงออกมาด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไพเราะและภาษาที่สละสลวย เข้าใจง่าย
เมื่อผู้อ่านอ่านเนื้อเพลงที่เราแปลออกมาแล้วนั้น
ผู้อ่านก็จะเกิดความเข้าใจในภาษาและเนื้อเพลงว่าเพลงนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
และผู้อ่านก็จะเกิดความประทับใจในการอ่านและผู้อ่านก็จะมีความสุขและสนุกกับการอ่านงานแปลของเรา
จากเนื้อหาของบทเพลง I want
you to know นี้
นอกจากเราได้เรียนรู้ในเรื่องของความหมายของคำศัพท์แล้นั้น เราสามารถเรียนรู้ในเรื่องของการออกเสียง การเชื่อมเสียงของคำในประโยค
ถ้าเราฟังเพลงนี้แล้วคำบางคำเราฟังไม่ออกว่าเป็นคำอะไร เพราะเราไม่มีความรู้ในเรื่องการของเชื่อมคำนั่นเอง
เมื่อเราได้เรียนรู้การเชื่อมคำในประโยคนั้น หากเราฟังเพลงในครั้งต่อ ๆ ไป เมื่อเราได้ยินเพลงเราก็จะสามารถรู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นการเชื่อมคำระหว่าง คำอะไรกับคำอะไร เราสามารถแยกออกมาได้แต่ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้ในส่วนของการเชื่อมเสียงคำในประโยคนั้น
เราก็จะไม่รู้และไม่เข้าใจเลยว่าเสียงที่เชื่อมคำนั้นมาจากค่าอะไรบ้าง และเราก็ไม่รู้ความหมายที่ถูกต้องและแท้จริงของศัพท์นั้oได้เลย
ซึ่งในบทเพลงนี้ก็มีการเชื่อคำในประโยคเช่นเดียวกัน ตัวอย่างในประโยคในบทเพลงนี้ ได้แก่
And once
again I’m yours
in fractions. ในประโยคนี้เราเห็นได้ว่ามีการเชื่อมคำระหว่างคำว่า once
again จะเชื่อมได้เป็น oncagain อ่านออกเสียงได้ว่า วัทซ์สะเกน
และอีกหนึ่งจุดที่มีการเชื่อมคำในประโยค
นี้ก็คือ คำว่า yours
กับ in จะได้เป็น yoursin ออกเสียงเป็น ยัวร์ซิน
ซึ่งในประโยคนี้ก็จะมีความหมายว่า
และฉันก็กลายเป็นของเธออีกครั้งในทุก ๆ ส่วนประโยคต่อไป I
want you to
know that it’s
our time คำว่า want
to = คำว่า wanna
แปลว่า
ต้องการจะหรือว่าอยากจะ
ซึ่งในประโยคนี้จะมีความหมายว่า
ฉันอยากจะให้เธอรู้น่ะ
ว่านี่คือช่วงเวลาของเรา
ประโยคถัดไปคือ I’m slippin
down a chain
reaction. ซึ่งประโยคนี้ คำว่า slippin นั้น ย่อมาจากคำว่า
slipping ซึ่งแปลว่า ลื่นไหล
ซึ่งเราสามารถแปลความหมายทั้งประโยคได้ว่า
ฉันลื่นไหลไปกับปฏิกิริยานี้
ประโยคถัดไป คือ Happy
it’s raining tonight.
จากประโยคนี้
คำว่า Happy ก็มีความหมายว่า “ที่รัก” ซึ่งเราสามารถแปลความหมายของทั้งประโยคได้ว่า ที่รัก
สายฝนซัดกระหน่ำในคืนนี้
นอกจากนี้ดิฉันก็ยังได้เรียนรู้ในส่วนของการใช้คำ
หรือการเล่นคำเพื่อให้เกิดภาษาที่สละสลวยขึ้น
และทำให้เกิดถ้อยคำที่ไพเราะขึ้นในบทเพลงนั้น ซึ่งเมื่อเราอ่านบทเพลงหรือร้องตามเนื้อเพลงแล้วนั้นเราก็จะเห็นได้ว่าเพลงนั้นมีเสน่ห์ในการแต่ง เพราะในเพลงนี้มีการเล่นคำที่หลากหลาย
เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วก็จะเกิดความประทับใจซึ่งในเนื้อเพลง I want
you to know นี้
จะมีการเล่นคำหลายประโยคเลย
ดังประโยคที่ว่า And here
I go here
I go here
I go go. จะเห็นได้ว่าประโยคนี้มีการเล่นคำหลายคำ
ในประโยคนี้จะมีความหมายว่า
และฉันจะพุ่งตรงไปเดินหน้าต่อไป
ประโยคต่อไป คือ Or
tell me lies
tell me lies
lies ซึ่งประโยคนี้ก็จะมีความหมายว่า หรือโกหกฉันก็ยังดี ประโยคต่อไป
คือ It’s all
the same all
the same all
the same glow. ในประโยคนี้ก็จะมีความหมายว่า
ก็จะมีประกายแบบเดียวกัน
ซึ่งจากตัวอย่างประโยคที่ยกมาจากในเนื้อเพลง I
want you to
know นั้น
จะเห็นได้ว่ามีการเล่นคำในแต่ละประโยคเพื่อให้เกิดเป็นเนื้อเพลงที่มีเสน่ห์
เพราะมีการเล่นคำที่หลากหลายแต่เมื่อแปลความหมายออกมานั้นแต่ละประโยคก็จะแปลความหมายออกมาแบบกระชับได้ใจความไม่ใช่แปลออกมตรงตามทุกคำศัพท์
นอกจากดิฉันความรู้ในส่วนของคำศัพท์ ความหมายของคำศัพท์
การเชื่อมเสียงคำศัพท์ในแต่ละประโยคและการเล่นคำในการแต่งเนื้อเพลงแล้วนั้น ดิฉันมีความชอบเนื้อเพลงท่อนหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นอย่างมาก เมื่อดิฉันฟังเนื้อเพลงท่อนนี้แล้วนั้น
ดิฉันรู้สึกชอบและเมื่อแปลความหมายของเนื้อเพลงท่อนนี้ออกมานั้น ความหมายในท่อนนี้ก็จะมีความหมายที่ดี ฟังแล้วก็ได้ข้อคิดหลาย ๆ อย่าง
และสามารถนำความหมายที่ได้จากเนื้อเพลงนำไปปรับใช้ในการดำรงชีวิตในประจำวันได้อีกด้วย
จะเห็นได้ว่าเนื้อเพลงในท่อนนี้จะสอนให้เรามีความหวังและความพยายาม ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ดังเนื้อเพลงที่ว่า I want
you to know
that it’s our
time. You and me bleed
the same light.
I want you
to know that
I’m all yours.
You and me
we’re the same
force. I want
you to know
that it’s our
time. You and
me bleed the
same light. I
want you to
know that I’m
all your. You
and me run
the same course.
You and me
run the same
course. ซึ่งเนื้อเพลงในท่อนนี้ดิฉันสามารถแปลความหมายออกมาได้ดังนี้ คือ
ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่านี่คือช่วงเวลาของเรา เธอกับฉันต่างก็แสงส่องประกายแบบเดียวกัน ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่า ฉันจะเป็นของเธอคนเดียว ก็เปรียบเสมือนพลังงานในรูปแบบเดียวกัน
ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่านี่คือช่วงเวลาของเรา
เธอและฉันต่างก็ช่องประกายแสดงออกมาในแบบเหมือนกัน ฉันอยากให้เธอรู้เอาไว้ว่าฉันเป็นของเธอคนเดียวน่ะ เธอและฉันเราวิ่งหรือเดินไปในเส้นทางเดียวกัน
ต่อไปก็จะเป็นความรู้ที่ได้จากเพลง I want
you to know ในส่วนของเรื่องไวยากรณ์ Grammar ซึ่งประโยคต่อไปนี้จะมีการบอกกาลของเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละ
Tense นั้นจะมีโครงสร้างประโยคที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในบทเพลงนี้ก็จะใช้ Tense
ดังนี้ คือ Present Simple
Tense ดังตัวอย่างประโยคต่อไปนี้ คือ You and
me bleed the
same light. ในประโยคนี้จะมีความหมายว่า เธอและฉันต่างส่องประกายแสงในแบบเดียวกัน ประโยคต่อไป
คือ You and
me run the
same course. ในประโยคนี้มีความหมายว่า เธอและฉันเราวิ่งไปบนเส้นทางเดียวกัน Tense ต่อไปที่มีในเนื้อเพลงคือ Present Continuous
Tense ดังประโยคในเนื้อเพลงที่ว่า I’m
slipping down a
chain reaction. ในประโยคนี้ก็จะมีความหมายว่า ฉันลื่นไหลไปตามปฏิกิริยาลูกโซ่ ประโยคถัดไป
คือ Honey it’s
raining tonight. ในประโยคจะมีความหมายว่า ที่รัก
ฝนซัดกระหน่ำในค่ำคืนนี้
ในส่วนของ Grammar ในเพลงนี้นอกจากจะมีหลักการใช้ไวยากรณ์
ในเรื่อง Tense ต่าง ๆ แล้ว ยังมีการใช้
noun phrase อีกด้วย ในเรื่องของ
noun phrase นี้จะมีความหมายว่า วลีที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม ซึ่ง noun phrase
ซึ่งจะเป็นได้ทั้งประธานและกรรมของประโยค ซึ่งในเนื้อเพลงนี้ ก็จะมี
noun phrase อยู่ด้วย ก็คือ out time จะมีความหมายว่า เวลาของเรา มีโครงสร้างประโยคดังนี้คือ Determiner +
Noun ประโยคถัดไป คือ your eyes แปลว่า ดวงตาของคุณ มีโครงสร้างประโยค Determiner + noun
ดังนั้นดิฉันสามารถที่จะสรุปประเด็นความรู้ต่าง ๆ
ที่ได้จากการเรียนรู้ในเรื่องของไวยากรณ์ Grammar ที่ได้จากการฟังเพลง I
want you to
know ชื่อศิลปิน Selena
Gomez ดิฉันได้ประเด็นคามรู้ที่สำคัญ
ๆ หลากหลายประเด็นนั่นก็คือ
ดิฉันได้ความรู้ในเรื่องของการแปลเนื้อเพลงจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทยและดิฉันยังได้รู้ความหมายของคำศัพท์ที่ไม่รู้มากมายหลายคำ
นอกจากนี้ก็ยังได้ความรู้ในส่วนของรูปแบบประโยคต่าง ๆ
ที่มีการใช้หลักไวยากรณ์
เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหลักการต่าง
ๆ ของเรื่องไวยากรณ์ Grammar ก็จะมีเรื่องราวของ Tense
ต่าง ๆ ได้แก่ Present Simple
Tense , Present
Continuous Tense นอกจาก Tense
แล้วก็จะมีในส่วนของการเชื่อมคำในประโยค
และการเล่นคำในการแต่งประโยคในเนื้อเพลงอีกด้วย รมไปถึงทักษะการฟังคือ เมื่อดิฉันได้ฟังเพลง I
want you to
know แล้วดิฉันก็ได้รู้สำเนียง การออกเสียงของคำศัพท์บางคำ และได้รู้ถึงการเน้นเสียง stress
เพื่อที่จะทำให้ดิฉันนั้นฟังได้อย่างเข้าใจและตีความหมายได้ถูกต้องตามเนื้อเพลง
และดิฉันก็ได้เรียนรู้สำเนียงการออกเสียงจากเจ้าของภาษาอย่างแท้จริงและที่สำคัญที่สุดที่ดิฉันได้จาการฝึกทักษะในครั้งนี้ก็คือ
ดิฉันสามารถนำความรู้ที่ได้จากการฟังเพลงนี้นำมาปรับใช้ในรูปแบบการเรียนและการใช้ชีวิตในชีวิตประจำวันได้ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกับชาต่างชาติเพราะเราก็จะได้เลียนแบบสำเนียงจากที่เราฟังเพลงมาและเราก็จะพูดสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างเป็นธรรมชาติ และเราเองก็จะมีความสุขในการสนทนาอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น