วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log 1 (out class)

Learning Log 1

 (out class)

          ในรายวิชาการแปลนั้นจะมีเนื้อหาที่หลากหลาย และมีจำนวนมาก มีความยาก และมีความซับซ้อนทางภาษา ซึ่งจะต้องมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องของไวยากรณ์ที่เพียงพอ เพื่อที่จะนำมาต่อยอดในการแปล เพราะการแปลจะมีความหลากหลาย มีความแตกต่างกัน จะมีระดับทางภาษาที่แตกต่างกันออกไป  ตัวผู้แปลนั้นใช้ระดับคำระดับภาษาที่ไม่ถูกต้องก็จะทำให้ประโยคหรือบทความนั้นๆมีความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปจากความหมายของต้นฉบับเดิม เพระฉะนั้นผู้แปลจะต้องมีการใช้คำที่ได้ใจความและถูกต้องตรงกับความหมายเดิม เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านนั้นได้มีความเข้าใจง่ายและไม่สับสน ซึ่งการแปลที่ถูกต้องนั้นจะต้องคำนึงถึงหลักการที่ทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วมีความเข้าใจที่ง่าย ถูกต้องและชัดเจนและผู้อ่านก็จะมีความสุขกับการอ่านานแปลนั้นๆ
                ต่อไปก็จะพูดในเรื่องของลักษณะของการแปล  Tense  ในภาษาอังกฤษ ซึ่งในภาษาอังกฤษนั้นในแต่ละประโยคก็จะมีโครงสร้างและรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปตามกางเวลา ซึ่งแต่ละ Tense นั้นก็จะมีลักษณะโครงสร้าง การใช้คำกริยาที่มีความแตกต่างกันออกไป จึงทำให้ประโยคแต่ละประโยคนั้นเมื่อแปลออกมาแล้วจะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป

          Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการณ์ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ
               1.     Present   tense        ปัจจุบัน
               2.     Past   tense              อดีตกาล
               3.     Future   tense          อนาคตกาล
ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ
Simple   tense   ,   Continuous  tense ,
Perfect  tense   ,   Perfect  continuous  tense

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น