Learning Log 1
(out
class)
ในรายวิชาการแปลนั้นจะมีเนื้อหาที่หลากหลาย
และมีจำนวนมาก มีความยาก และมีความซับซ้อนทางภาษา ซึ่งจะต้องมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องของไวยากรณ์ที่เพียงพอ
เพื่อที่จะนำมาต่อยอดในการแปล เพราะการแปลจะมีความหลากหลาย มีความแตกต่างกัน
จะมีระดับทางภาษาที่แตกต่างกันออกไป
ตัวผู้แปลนั้นใช้ระดับคำระดับภาษาที่ไม่ถูกต้องก็จะทำให้ประโยคหรือบทความนั้นๆมีความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปจากความหมายของต้นฉบับเดิม
เพระฉะนั้นผู้แปลจะต้องมีการใช้คำที่ได้ใจความและถูกต้องตรงกับความหมายเดิม
เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านนั้นได้มีความเข้าใจง่ายและไม่สับสน
ซึ่งการแปลที่ถูกต้องนั้นจะต้องคำนึงถึงหลักการที่ทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วมีความเข้าใจที่ง่าย
ถูกต้องและชัดเจนและผู้อ่านก็จะมีความสุขกับการอ่านานแปลนั้นๆ
ต่อไปก็จะพูดในเรื่องของลักษณะของการแปล Tense ในภาษาอังกฤษ
ซึ่งในภาษาอังกฤษนั้นในแต่ละประโยคก็จะมีโครงสร้างและรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปตามกางเวลา
ซึ่งแต่ละ Tense นั้นก็จะมีลักษณะโครงสร้าง การใช้คำกริยาที่มีความแตกต่างกันออกไป
จึงทำให้ประโยคแต่ละประโยคนั้นเมื่อแปลออกมาแล้วจะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป
Tense
คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา ที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการณ์
นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำ
เป็น.
Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น
3 tense ใหญ่ๆคือ
1. Present
tense ปัจจุบัน
2. Past
tense
อดีตกาล
3. Future
tense อนาคตกาล
ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ
Simple tense
, Continuous tense ,
Perfect tense , Perfect continuous tense
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น