Learning Log 4
( in class )
สังคมไทยในปัจจุบันให้ความสำคัญในการแปลและการเขียนประโยคในภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก
เนื่องจากคนไทยในปัจจุบันไม่มีความเข้าใจในเรื่องไวยากรณ์ รวมไปถึงโครงสร้างประโยคที่ชัดเจนทำให้งานเขียนนั้นออกมาแบบถูกถูกผิดผิด
เพราะบุคคลส่วนมากจะไปมาจากประโยคภาษาไทยมาเป็นประโยคภาษาอังกฤษ จึงทำให้ไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ก่อนที่ทำงานเขียนหรืองานแปลนั้น
ทุกคนต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของประโยคก่อนซึ่งประโยคก็จะแบ่งเป็นหลายประเภทและแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันแต่ละชนิดจะมีหลักการและเทคนิคการเขียนประโยคต่างกันเราไปโครงสร้างประโยคแต่ละประเภทจะเป็นร้านที่เขียนได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์และเป็นพื้นฐานการเขียนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเขียนบทความในรูปแบบต่างๆได้ถูกต้องซึ่งในประโยคแต่ละประเภท
นั้นมีโครงสร้างประโยคที่ชัดเจนโดยที่เราต้องมีการเรียนรู้ข้อมูลประโยคประเภทต่างๆให้เข้าใจอย่างชัดเจนซึ่งไปอยู่จะแบ่งออกเป็น
4 ประเภทคือความเดียว ประโยคความรวม ประโยคความซ้อน ประโยคผสม
ประโยคเกิดจากคำหลายๆคำหรือวลีที่นำมาเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบ
และให้ความมีความสัมพันธ์กันมีใจความสมบูรณ์แสดงให้รู้ว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไรซึ่งประโยคแต่ละประเภทจะมีส่วนประกอบของประโยคประโยค
1 นั้นจะต้องมีภาพประธานและภาคแสดงเป็นหลักอาจมีคำขยายส่วนต่างๆได้คือ
1) ภาคประธาน คือ คำ หรือกลุ่มคำที่ทำหน้าที่เป็นส่วนสำคัญของประโยคประธานอ่านมีบทขยาย
ซึ่งเป็นคำหรือกลุ่มคำมาประกบเพื่อทำให้มีใจความชัดเจนยิ่งขึ้นพระประธานอาจมีได้หลายรูปแบบ
เช่น
-เป็นคำนาม เช่น The
man walked in the train.
- เป็นคำสรรพนาม เช่น He
was a policeman.
-เป็นอนุประโยค เช่น What
he described frightened everybody.
-เป็น gerund เช่น Writing was her hobby.
-เป็น gerund
phrase เช่น Working in the South is dangerous.
-เป็น infinitive
เช่น To swim is a good exercise.
-เป็น infinitive
phrase เช่น To escape from the prison seems impossible for
hom.
2)
ภาคแสดง (predicate) อยากแสดงจะต้องประกอบด้วยเป็นยาและคำที่มีกรรมโดยเรียกว่า
verb completion หรือส่วนที่ขยายเรียกว่าverb
modifires
(2.1) verb completion. เช่น
- She knows my
name.
- Many people complained a lot of
about air pollution.
(2.2)
verb modifiers เช่น
-The teacher should speak nicely to
the children.
-Students can be observed in all
classroom.
ชนิดของประโยค
ประโยค (sentence) แบ่งออกได้เป็น
4 ประเภทดังนี้
1)ประโยคตวามเดียว
(somple sentence) คือ ประโยคที่มีประโยคอิสระ (independent
clause) เพียงประโยคเดียว เช่น
-Linda wrote
that novel.
-The secrelary
answer the phone.
2)
ประโยคความรวม (compound sentence) คือ
ประโยคที่มีประโยคอิสระ (Independent Clause) ตั้งแต่ 2
ประโยคขึ้นไปเเละมีคำสันธานหรือคำเชื่อมมาเชื่อมประโยคเข้าด้วยกันได้แก่
and, but, nor, or, for, so, yet. เช่น
- University
students can live in the dormitories or in the private apartment.
- Woman live
longer than men,for they take better care of their health.
3)
ประโยคความซ้อน ( Compound Sentence) ประโยคที่มีประธานและกริยามากกว่า
1 ชุด ประโยคย่อยที่แยกออกมาจากประโยคจะมีใจความไม่สมบูรณ์อยู่
นั่นคือ อนุประโยครอง (Subordinate clause หรือ dependent
clause) และมีประโยคหลัก มักใช้คำสันธานพวก Subordinating
Conjunctions เช่น when where which that who how because if
เช่น
- Some old people are afraid of using
computer while others welcome it
-
Students who are in the second year are called sophomore.
- Curiosity is one of the early drives which can be
used to the full by the elementary school teacher.
4)
ประโยคผสม (Complex-Compound Sentence) เป็นประโยคที่มีประธานและกริยาตั้งแต่ 3 ชุดขึ้นไป
โดยที่มีทั้งคำสันธานที่บอกถึงความเป็นประโยคความรวม
และประโยคความซ้อนในประโยคเดียว
เช่น
-He said that
he had to wake up at 6:00 AM, but he woked up at 8:00 AM this morning.
- Before Jack
could go to the party, he had to finish his annual report, but he
found it hard to concentrate.
Adverb Clause
Adverb Clause ทำหน้าที่เหมือนคำ adverb ในประโยค
ซึ่งขยายคำกริยา, ขยายคำคุณศัพท์ หรือขยายคำกริยาวิเศษณ์
ชนิดของ Adverb Clause
1. Adverb Clause of Time คือ adverb clause บอกถึงเวลา ให้ทราบว่าการกระทำ นั้นได้กระทำเมื่อไหร่
ซึ่งมักจะขึ้นต้นประโยคด้วย Subordinate Conjunction ดังต่อไปนี้
เช่น
when
|
while
|
before
|
after
|
whenever
|
as long as
|
all the time(that)
|
as
|
since
|
till
|
until
|
as soon as
|
so long as
|
by the time (that)
|
เช่น When
the policeman appeared, the thief ran away.
2. Adverb Clause of Manner คือ clause ที่ทำหน้าที่เป็น adverb ขยายกริยาใน ประโยคหลัก
เพื่อบอกให้ทราบว่า การกระทำนั้นได้กระทำในลักษณะอย่างไร โดยมี prinsipal
conjunctions ดังต่อไปนี้
as
|
as if
|
as though
|
เช่น He
looks as if he were rich.
3. Adverb Clause of Place คือ adverb clause ที่บอกถึงสถานที่ เพื่อบอกให้ทราบ ว่า การกระทำนั้น ได้ กระทำ ณ ที่ไหน
มักจะขึ้นต้นด้วย Relative Adverb ดังต่อไปนี้
where
|
wherever
|
as far as
|
as near as
|
เช่น I
will go wherever she go.
4. Adverb Clause of Reason คือ adverb
clause ที่แสดงเหตุผลสำหรับข้อความที่ อยู่ในประโยคหลัก
โดยจะมีคำสันธานเชื่อมเข้ากับประโยคหลัก ดังนี้
because
|
as
|
since
|
now that
|
seeing that
|
whereas
|
inasmuch as
|
due to the fact that
|
because of the fact that
|
owning to the fact that
|
in view of the fact that
|
on account of the fact that
|
เช่น As
he was fool,he refused to listen to me.
5. Adverb Clause of Result คือ adverb clause
ที่แสดงผลของการกระทำที่เกิดขึ้น หรือ
อาจเกิดขึ้นในประโยคหลัก โดยจะมีคำสันธานเชื่อมเข้ากับประโยคหลัก
ดังนี้
so that
|
so.....that
|
such.....that
|
โดยมีการใช้ดังนี้
so + adj./adv, + that = .......ทำให้,จนกระทั่ง
so + adj. + a + noun + that =
........ มากจนกระทั่ง
such + adj + noun (พหูพจน์หรือนับไม่ได้)
+ that = .......มากจนกระทั่ง
such + a + adj. + noun (นับได้เอกพจน์) + that = .......เสียจนกระทั่ง
เช่น
she is so weak that she can’t work hard.
(so.....that she
can’t work hard เป็น adverb clause บอกผลทำหน้าที่ขยายคุณศัพท์
weak)
6. Adverb Clause of Purpose คือ adverb
clause ที่แสดงวัตถุประสงค์ของการ กระทำในประโยคหลัก
โดยจะมีคำสันธานต่อไปนี้เชื่อมเข้ากับประโยคหลัก
so that
|
that
|
so
|
in order that
|
for the purpose that
|
lest
|
in case (that)
|
for fear that
|
**that, so that และ in
order that มักใช้คู่กับ may, might เสมอ
**ส่วน lest มักใช้คู่กับ should มีความหมายเท่ากับ
so that....... not (เพื่อที่จะไม่)
เช่น
I’m telling you this lest you should make a mistake.
(lest you should make a mistake เป็น adverb
clause ทำหน้าที่ขยายกริยา telling เพื่อบอกให้ทราบว่า
ผมบอกคุณเพื่อจุดประสงค์อะไร)
7. Adverb Clause of Concession หรือ Supposition คือ adverb clause ที่แสดง ความขัดแย้ง
โดยมีคำสันธานเพื่อเชื่อมเข้ากับประโยคหลัก ดังนี้
though
|
although
|
even though
|
even if
|
however
|
admitting that
|
notwithstanding that
|
in spite of the fact
that
|
despite the fact that
|
notwithstanding the fact that
|
(adverb หรือ adjective)
+ as
|
เช่น He
is honest, though he is poor.
8. Adverb Clause of Comparison คือ adverb
clause ที่ใช้แสดงการเปรียบเทียบ กับข้อความที่อยู่ข้างหน้า
ลักษณะประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำสันธาน ดังนี้
as + Adj./Adv. +
as
|
not so + Adj/Adv. + as
|
such + noun + as
|
คุณศัพท์ขั้นกว่า
+ noun
|
เช่น He
is as clever as you are.
9. Adverb Clause of Reservation คือ adverb
clause ที่ไปขยายข้อความอื่น เพื่อ บอกการยดเว้น
ลักษณะประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำสันธาน ดังนี้
-except that
-except for the fact that
เช่น She
is a very good girl except that she rarely talks.
10. Adverb Clause of Condition คือ adverb
clause ที่แสดงเงื่อนไข โดยมี คำสันธาเชื่อมเข้ากับประโยคหลัก
ดังนี้
if
|
if only
|
unless
|
supposing (that)
|
providing (that)
|
provided (that)
|
on the condition (that)
|
in the event (that)
|
in case (that)
|
as long as
|
on the understanding that
|
but that (= if......not)
|
เช่น
I would come with you If I were not so busy.
สรุปได้ว่าการเรียบเรียงถ้อยคำเป็นประโยคความเดียวประโยคความรวมและประโยคความซ้อนสามารถขยายให้เป็นประโยคยาวขึ้นได้ด้วยการใช้คำกลุ่มคำหรือประโยคเป็นส่วนขยายยิ่งประโยคมีส่วนขยายหรือองค์ประกอบมากเพียงใดก็จะทำให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจต่อต่อกันมากขึ้นและข้อสำคัญนั้นคือเรามีความเข้าใจในรูปแบบประโยคการใช้คำเชื่อมและทำขยาย
แต่เราต้องมีความคำนึงถึงเจตนาในการสงสารด้วย
ผู้ที่มีทักษะในการเรียบเรียงประโยคสามารถพัฒนาไปสู่การเขียนเล่าเรื่องเรื่องราวที่ยืดยาวได้ตามเจตนาของการสื่อสารดังนั้นผู้ใช้ภาษาจริงต้องศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องของโครงสร้างประโยคและวิธีการสร้างประโยชน์ให้ชัดเจนก่อนจะทำให้การสื่อสารนั้นนั้นและสามารถใช้ภาษาสื่อสารความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น