Learning Log 8
(out
class)
ในการเรียนวิชาแปลนั้นเราต้องมีความรู้พื้นฐานในวิชาภาษาอังกฤษในหลาย
ๆ เรื่องเพื่อที่จะนำมาต่อยอดในการเขียนในงานต่อ ๆ ไป
เนื่องจากงานแปลที่ได้รับมอบหมายนั้นทำให้ฉันได้รู้ข้อบกพร่องของตนเองในการแปลงของฉัน คือ
ดิฉันรู้คำศัพท์ไม่เพียงพอและไม่สามารถแปลความหมายให้เข้าใจได้ ดิฉันใช้คำและภาษาที่วกไปวกมา และดิฉันไม่สามารถเรียงประโยคให้สละสลวยมีคามไพเราะและเขียนแปลความนวนิยายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย ดังนั้นทำให้ดิฉันคิดว่าควรทำอย่างไรเพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านการแปลเรื่องจากนวนิยายได้อย่างเข้าใจจึงทำให้ดิฉันอยากแปลนวนิยายออกมาให้ดี มีภาษาที่สละสลวย เข้าใจเรื่องได้ง่าย ใช้คำไม่ซับซ้อน
ดิฉันจึงคิดว่าต้องมีความจำเป็นในการศึกษาการแปลความจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยซึ่งการแปลภาษาอังกฤษให้ถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากในการแปลภาษา คือ
เทคนิคการเขียนประโยคสำหรับการแปล
หรือเราเรียกได้ว่า
การแปลอย่างเป็นระบบนั่นเอง
ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ประโยคว่าแต่ละประโยคนั้นมีส่วนประกอบอย่างไรบ้าง จะมีประธาน
ส่วนประธาน
เพื่อทำให้การแปลคามเกิดความไพเราะ
และการแปลให้ไพเราะนั้นจะต้องอาศัยประสบการณ์ในเรื่องของการแปล
และจะทำให้เรามั่นใจได้ว่าหากว่าเรามีความรู้ วิธีการสร้างประโยคแล้วเราสามารถแปลงานภาษาอังกฤษได้ ดังนั้น
การมีเทคนิคในการแปลทำให้เกิดการแปลที่เป็นระบบและทำให้ได้งานแปลที่ดีและมีคุณภาพสูงสุด
ในเรื่องของเทคนิคการแปลจะต้องอาศัยขั้นตอนการแปลในส่วนแรกคือ
การหาส่วนประกอบที่เป็นประธานและเป็นส่วนประกอบ เราจะแปลหรือเขียนแปลได้ดีนั้นจะต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องโครงสร้างไวยากรณ์เป็นอย่างดีและเข้าใจ
เพราะไวยากรณ์จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์และแยกแยะประโยคได้ เมื่อสามารถแยกแยะและวิเคราะห์ประโยคได้ก็จะสามารถรู้ด่าประโยคไหนควรแปลก่อนประโยคควรแปลหลัง
และแต่ละส่วนก็จะมีความสัมพันธ์กัน จึงจะทำให้ได้งานที่แปลที่สละสลวย
และส่วนประธานอาจเป็นคำศัพท์คำเดียวหรือหลายคำก็เป็นไปได้
ถ้าส่วนประธานเป็นคำศัพท์คำเดียวหรือหลายคำก็เป็นไปได้
ถ้าส่วนประธานเป็นคำศัพท์คำเดียวก็จะหมายคามว่าคำศัพท์คำนั้นเป็นทั้งส่วนประธานและตัวประธานในตัวเดียวกัน ในกรณีนี้ให้แปลประธานได้ทันที
แต่ถ้าส่วนประธานประกอบด้วยคำศัพท์หลายคำศัพท์ผู้เรียนต้องกำหนด
(1)
ตัวประธาน
(2)
ส่วนขยายประธาน
เมื่อหาตัวประธานได้แล้วค่อยลงมือแปลตามลำดับของคำโดยสรุปว่าการเริ่มแปลจากตัวประธานและส่วนขยาย แต่บางครั้งการแปลแบบนี้อาจจะทำให้งานแปลออกมาแบบไม่เป็นธรรมชาติ ตรงไปตรงมา
ซึ่งมีผลทำให้การแปลออกมาไม่น่าอ่าน
เทคนิคการหาตัวประธานนั้นถึงแม้ว่าส่วนของประธานจะมีหลายตัวหลายคำศัพท์
แต่ตัวประธานซึ่งอยู่ในส่วนประธานต้องมีเพียงคำเดียวในส่วนประธานการวิเคราะห์ส่วนประธาน เราต้องบอกให้ได้ว่าประธานเป็นแบบไหน
1 เป็นคนหรือเป็นสิ่งของ
2 เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์
ที่สำคัญคือตัวประธานมักจะถูกแปลเป็นอันดับแรก
ตัวประธานสามารถวางไว้ได้หลายตำแหน่งดังต่อไปนี้
1 ส่วนประธานและตัวประธานเป็นคำถามหรือคำสรรพนามเพียงคำเดียวหมายความว่า ส่วนประกอบและตัวประธานเป็นคำ ๆ เดียวกัน
การแปลประธานตัวเดียวถือว่าง่ายเพราะไม่มีตัวขยายมาเกี่ยวข้อง
2 ส่วนประธานที่มีมากกว่าหนึ่งคำหรือตัวประธานวาง
3 ใช้วลีเป็นประธานหรือประธานอยู่หน้าคำคุณศัพท์
4 ใช้วลีเป็นประธานและตัวประธานอยู่หน้า Verbs
และ Verbing ซึ่งจะเป็นการลดรูปมากจาก Odjective clause
5 ตัวประธานและส่วนประธานมีวลีนำหน้า
6 ใช้ประโยค Noun
clause เป็นประธาน
ซึ่งหากเรารู้ถึงการวางของตำแหน่งประโยคได้อย่างถูกต้อง แล้วเราก็จะสามารถนำความรู้ส่วนนี้มาใช้กับการแปลได้อย่างดี
เทคนิคต่อไปนี้คือการกำหนดส่วนกริยา หมายความว่าเป็นการแปลเมื่อแปลส่วนกริยา
ก่อนจะแปลส่วนกริยาเราต้องกำหนดส่วนกริยาก่อนว่ามีกี่ตัว เป็นกริยาเอกพจน์หรือพหูพจน์ เป็นกริยาที่ประธานทำเอง Active voice หรือ กริยาที่ประธานถูกทำ Passive voice และการกำหนดส่วนกริยาจะต้องอาศัยตัวประธานเป็นตัวกำหนด และเทคนิคต่อไปนี้ คือ
การกำหนดแปลส่วนที่อยู่หลังส่วนกริยาซึ่งการแปลส่วนที่อยู่หลังส่วนกริยาจะมีวิธีแปลและมีวิธีกำหนดคล้าย
ๆ กับส่วนประธานคือจะเป็นเรื่องคำนามและคำขยายเช่นกัน แม้จะมีประโยตแทรกบ้างก็ตาม
ส่วนที่อยู่หลังกริยาจะเน้นไปยังเรื่องของลักษณะคำเป็นคำหลักและเทคนิคที่สำคัญต่อไปนี้ คือ
การกำหนดประโยคแทรกและการแปลประโยคแทรก
ประโยคแทรกคือ
ประโยคที่ทำหน้าที่ขยายความซึ่งอยู่แทรกในประโยคหลัก
เทคนิคการแปลจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในงานแปล
เนื่องจากการแปลที่ปราศจากวิธีการเดินประโยคที่ดีนั้น จะทำให้งานแปลที่แปลออกมานั้นไม่มีคุณภาพ ไม่มีการใช้ภาษาที่สละสลวย ไม่มีคำที่ไพเราะ
ไม่สามารถที่จะอ่านแล้วเกิดความเข้าใจในเนื้อหาหรือเนื้อเรื่องที่แปลได้ ถึงแม้ว่าการแปลนั้นจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือแปลตรงตามเนื้อหาทุกประเด็กก็ตาม
ดังนั้นเทคนิคการแปลเกี่ยวกับวิธีการเดินประโยคโดยวิธีการแปลโดยไม่มีการเดินประโยคนั้นสามารถสรุปได้ 6
ขั้นตอนดังนี้ คือ
(1)
การกำหนดหาส่วนประธาน เพื่อหาประธานของประโยค
(2)
การรู้หน้าที่ของประธานในประโยคว่าเป็นคน /
สัตว์ หรือสิ่งของ
(3)
การหาส่วนกริยาซึ่งการหาส่วนนี้จะเป็นการหาเพื่อดูว่าประโยคนี้มีกริยากี่ตัว กริยาตัวใดเป็นเอกพจน์ และกริยาตัวใดเป็นพหูพจน์และทำหน้าที่ขยายอะไร
(4)
การแปลส่วนที่อยู่หลังกริยา เพื่อดูว่าคำอะไรเป็นตัวขยาย
(5)
การกำหนดประโยคแทรกซึ่งลักษณะนี้จะอยู่ในรูปของประโยคความซ้อน
ดังนั้นขั้นตอนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับวิธีการเดินประโยคจะช่วยให้ดิฉันสามารถแปลนวนิยายได้ดีกว่าเดิม
และสามารถช่วยให้งานแปลที่ออกมานั้นมีคุณภาพมากขึ้นและเมื่อผู้อ่านได้อ่านงานแปลแล้จะทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจได้ง่ายและอ่านแล้วมีความไพเราะสนุกสนานกับการอ่านงานแปล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น